เติมหวานให้พอดี ไม่ทำร้ายสุขภาพ

หน้าแรก      สาระน่ารู้
ถูกใจ
0    9,954    0    7 ธ.ค. 2559 09:05 น.   
แบ่งปัน
เติมหวานให้พอดี ไม่ทำร้ายสุขภาพ

รสชาติแสนหวานอร่อยของน้ำตาลที่ถูกปรุงแต่งชูรสให้อาหารต่างๆ นั้นมีรสชาติหวานน่าลิ้มลองจนติดอกติดใจใครหลายๆ คน เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับอาหารรสหวานจึงมีการเติมผงชูรสหรือน้ำตาลลงไปในขณะปรุงอาหารมากกว่าปกติ แต่หารู้ไม่ว่าความหวานอันแสนจะคุ้นลิ้นที่เรารับประทานและเติมใส่อาหารอยู่บ่อยๆ สามารถกลายเป็นภัยร้ายที่คร่าทำลายร่างกายของเราได้อย่างเงียบเชียบ แล้วอย่างนี้จะมีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานชนิดใดบ้าง ที่ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายชนิด ที่สามารถเติมหวานได้โดยไม่ทำร้ายสุขภาพ เราลองมาทำความรู้จักกันเลย...
 
น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลปึก น้ำตาลปี๊บเป็นสารให้ความหวานที่ได้มาจากการเคี่ยวน้ำหวานจากยอดทลายอ่อนมะพร้าวและตาลโตนด มีลักษณะเป็นก้อนกลมสีน้ำตาลเข้มมีรสหวานแหลมและเค็มเล็กน้อย สามารถใช้ปรุงรสอาหารได้ทั้งคาวและหวาน ซึ่งน้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 56 กิโลแคลอรี อีกทั้งยังแฝงไปด้วยวิตามินหลายอย่าง เช่น โพแทสเซียมซึ่งมีบทบาทในการลดความดันโลหิต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
 
น้ำตาลเทียม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันมีการผลิตออกมาในรูปแบบเครื่องดื่มและน้ำอัดลมประเภท Sugar Free ที่ให้แคลอรี 0% หรือไม่มีน้ำตาล แต่ยังคงรสหวานที่มีมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 180-200 เท่า ซึ่งเป็นทางเลือกของคนที่ควบคุมน้ำหนัก แต่หากได้ในรับในประมาณที่สูงต่อเนื่องกันนานๆ ก็อาจจะมีผลต่อร่างกายและการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ
 
นมข้นหวาน เป็นสารให้ความหวานจากผลิตภัณฑ์นมที่ระเหยเอาน้ำบางส่วนออก และทำให้หวานโดยเติมน้ำตาล ไขมันเนยหรือไขมันจากพืช เช่น ปาล์ม มาเป็นส่วนผสม นมข้นหวาน 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 50 กิโลแคลอรี และมีคุณค่าทางโภชนาการทางอาหาร เช่น โปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินB1 วิตามินB2 วิตามินC และวิตามิน A ที่มีมากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น ๆ แต่ไม่แนะนำให้รับประทานในปริมาณมาก เพราะว่าสารให้ความหวานตัวนี้ทำมาจากนม ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลให้เกิดเป็นไขมันอิ่มตัวซึ่งเสี่ยงต่อในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และโรคเบาหวาน
 
น้ำผึ้ง --- ที่ได้มาจากธรรมชาติเป็นสารให้ความหวานต่างจากความหวานอื่นๆ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 65 กิโลแคลอรี อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน B วิตามินC เกลือแร่ กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายรวมถึงมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลทรายแดง จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการปรุงอาหาร ทั้งนี้ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทนได้เช่นกัน

โรคที่มากับความหวาน
1. เกิดภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งเกิดจากร่างกายเรามีน้ำตาลเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ผลไม้ หรือน้ำตาลที่ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มต่างๆ วิ่งเข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมากจนทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดทำให้เกิดการอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรง

2. คนที่ชอบรับประทานอาหารที่มีรสหวานเกินไปมักขี้หงุดหงิด ขี้โมโห เพราะการมีน้ำตาลในเลือดมากทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักและขับอินซูลินออกมามากเกินไป เมื่อมีอินซูลินในสมองมากก็จะเครียดจนกลายเป็นคนโมโหง่ายควบคุมอารมณ์และสติไม่ค่อยได้

3. ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เพราะน้ำตาลคืออาหารของเชื้อโรค ดังนั้นคนที่มีน้ำตาลในเลือดหรือในร่างกายมากเกินไปจะทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ สังเกตได้ง่ายๆ จากคนเป็นโรคเบาหวาน

4. อาจทำให้มีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือเป็นไมเกรน สิวขึ้นและหายช้า เกิดแผลพุพอง มักจะเป็นตะคริวเวลามีประจำเดือน มีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับได้

5. ในรายที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเกิดซีสต์ที่รังไข่ ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความดันสูง นิ่ว ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ และไขมันแทรกในตับได้อีกด้วย
 
สาระน่ารู้อื่นๆ