เนสท์เล่แชร์เทคนิคจับคู่ขนมเพิ่มประโยชน์ ของหวาน ของเค็ม อร่อยได้ บาลานซ์ด้วย

0    247    0    27 ส.ค. 2567 17:28 น.   
แบ่งปัน

เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมขนม เครื่องดื่ม ของอร่อย ๆ ที่ดีต่อใจ มักจะทำให้กินได้อย่างเพลิดเพลิน ทั้งชานมไข่มุก เค้ก ขนมกรุบกรอบ หรือเฟรนช์ฟรายส์ หลาย ๆ คนรู้ว่าหากกินมากเกินไปอาจส่งผลต่อร่างกายและทำให้อ้วน แต่บางครั้งก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทำให้รู้สึกผิดหลังจากกิน และมักส่งผลกระทบต่อสุขภาพถ้ากินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือกินบ่อยเกินไป แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ของอร่อย” สามารถช่วยฮีลใจได้ มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ยืนยันว่า อาหารที่ดีมีผลต่อสภาพจิตใจเราจริง ๆ แต่ก็อาจต้องห้ามใจไม่ให้เพลินเกินไป หรือปรับเปลี่ยนให้อาหารที่กิน ให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น สารอาหารเหล่านั้นจะช่วยบำรุงจิตใจและสมองได้อีกด้วย ในมุมมองของนักโภชนาการ การบริหารการกินให้มีการกินอยู่อย่างสมดุล เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักหรือไม่ หรืออยู่ในช่วงวัยไหนก็ตามและหลายคนมักมองหาขนมที่กินแล้วไม่อ้วน ไม่ทำร้ายสุขภาพ เพื่อเติมเต็มจิตใจและบาลานซ์ร่างกาย
 
พฤติกรรมการกินนั้นเชื่อมโยงกับสถานการณ์และความรู้สึกของผู้คนในแต่ละช่วงเวลา การกินอาหารของคนเราไม่ใช่เพียงแค่เพื่อให้ร่างกายอิ่มเท่านั้น แต่อาหารยังมีบทบาทในเรื่องของการเยียวยาในเชิงความรู้สึก หรือใช้ในการเข้าสังคม ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง โดยอาหารว่างแบบหวาน จะมีน้ำตาลกลูโคสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานเดียวของสมอง ช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขหรือโดพามีน ส่วนอาหารว่างแบบคาว ของทอด ของเค็ม จะทำให้เพลิดเพลินกับรสชาติและเท็กซ์เจอร์ ทำให้รู้สึกฟินและคลายความเครียดลงได้ การเพลิดเพลินกับอาหารว่างหรือขนมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแค่ต้องกินอย่างพอดี ปรับใช้เทคนิคในการกินอยู่อย่างสมดุล “บวก แบ่ง แพลน” ที่สามารถช่วยบาลานซ์ความสุขและสุขภาพได้” นางสาวจันทิมา เกยานนท์ นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าว
 
ประเทศไทยเราเองก็มีของกินที่หลากหลาย ทั้งคาวและหวาน เมื่อมีของอร่อยให้เลือกกินเยอะ การจับคู่อาหารเพิ่มประโยชน์ (food pairing) จึงเป็นอีกเทคนิคของการกินอยู่อย่างสมดุล ปรับการกินขนมสุดโปรดให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อสุขภาพอีกต่อไป และนี่คือ ไอเดียการจับคู่เพิ่มประโยชน์ให้มื้อว่างฮีลใจกับ 5 คู่หูเครื่องดื่มขนมยอดฮิต เช่น ถ้าอยากกินชานมไข่มุก ก็ควรจับคู่กับแครกเกอร์ธัญพืช หรืออาหารที่มีใยอาหารสูงอื่น ๆ  เช่น เมล็ดธัญพืชเต็มเมล็ดเม็ดฟักทอง งาดำงาขาว หรือลูกเดือยอบแห้ง ที่สำคัญ ควรใช้เทคนิคแบ่งปริมาณให้พอดี (Portion control) ควบคู่ไปด้วย โดยสั่งชานมขนาดเล็กลง ลดเปอร์เซ็นต์ความหวานให้น้อยลง ส่วนสายเค้กก็จับคู่กับชาร้อน โดยไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม ชา มีคุณสมบัติช่วยลดความดันเลือดและคอเลสเตอรอลได้ หรือจะเปลี่ยนจากชาเป็นอเมริกาโน่เย็นไม่เติมน้ำตาลก็ช่วยตัดรสชาติหวาน ๆ ของเค้กได้อย่างลงตัว หรือหากเป็นสายช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ อาจเลือกช็อกโกแลต จับคู่กับอัลมอนด์ ควรเลือกดาร์กช็อกโกแลต (โกโก้ 70% ขึ้นไป) คู่กับอัลมอนด์ไม่เกิน 1-2 หยิบมือ ช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมอง กระตุ้นการทำงานในช่วงบ่ายได้ดี  ส่วนอัลมอนด์นั้นมีส่วนประกอบของไขมันดีและมีสารอาหารต่าง ๆ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดไขมันในเลือดซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเบาหวานอีกด้วย

สำหรับคนที่รักไอศกรีม อาจกินคู่กับผลไม้ที่หวานน้อย เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่าง ๆ ส้ม หรือสัปปะรด ก็ได้ทั้งความหวาน อร่อยและสดชื่น ช่วยเพิ่มใยอาหาร ช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมสังเกตซองหรือฉลาก โดยเลือกไอศกรีมที่ให้พลังงานไม่เกิน 250 แคลอรีต่อแท่ง หรือต่อการบริโภค 1 ครั้ง หรือเลือกไอศกรีมที่ได้รับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เพื่อมั่นใจได้ว่าปริมาณน้ำตาล ไขมัน โซเดียมผ่านเกณฑ์ที่เหมาะสม

อาหารว่างจำพวกของทอดของเค็มอร่อยแน่ แนะนำให้กินคู่กับผักเคียง เช่น แตงกวา กะหล่ำปลี ผักชี หรือผักกาดหอม เพื่อให้ใยอาหารช่วยดูดซึมไขมันจากของทอด นอกจากนี้ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมส่วนเกินออก แนะนำเลือกดื่ม น้ำมะพร้าว เป็นตัวเลือกที่จับคู่ได้ดีกับของเค็ม น้ำมะพร้าวเป็นแหล่งของโพแทสเซียมที่ดี ช่วยลดการดูดซึมโซเดียมในร่างกายได้ ทำให้บาลานซ์เกลือแร่ในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
“ของว่างเหล่านี้ เป็นของโปรดยอดนิยมของพวกเราหลาย ๆ คน ลองนำเทคนิคจับคู่เพิ่มประโยชน์ (Food pairing) ปรับมื้อว่างให้สมดุลมากขึ้น ได้ทั้งความอร่อย ความหลากหลาย และคุณประโยชน์ที่เสริมกัน ดังนั้นไม่ว่าจะอยากกินอะไรก็ตาม ต้องนึกถึงการปรับให้บาลานซ์ควบคู่กันไประหว่างความอร่อยและสุขภาพ” นางสาวจันทิมาแนะนำ
 
เนสท์เล่ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก ส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพและโภชนาการที่ดี ด้วยเทคนิคการกินอยู่อย่างสมดุล แก่คนไทยทุกเพศทุกวัย แนะนำเทคนิคการบวก-แบ่ง-แพลน เพื่อเพิ่มประโยชน์ให้ทุกมื้ออาหารตอบโจทย์ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยสามารถดูคำแนะนำการแบ่งกินตามฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (GDA : Guideline Daily Amounts) หรือสังเกตสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เพื่อมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ผ่านเกณฑ์โภชนาการที่เหมาะสม
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์
Seafood from Norway Festival 2025 ป๊อปอัพสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมนำทุกท่านดำดิ่งสู่โลกแห่งอาหารทะเลจากน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์ ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสและสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง Seafood from Norway และผู้บริโภคชาวไทย ถ่ายทอดเรื่องราวของธรรมชาติ ผู้คน และอนาคตที่มีร่วมกัน พร้อมกิจกรรมโซนอินเทอร์แอคทีฟ ลิ้มลองเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และบูธจากพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–7 กันยายน 2568 เวลา 10.00–22.00 น. ณ EM MARKET ห้างสรรพสินค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก  ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดนิทรรศการ “Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” หยิบซอสปรุงรสท้องถิ่นมาต่อยอดในมุมมองใหม่ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมที่กินได้” ร้อยเรียงเรื่องราวผ่าน 4 โซนนิทรรศการที่ชวนสำรวจทั้งวัฒนธรรมการกิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านขวดซอส ลิ้มรสซอสไทย ที่ถูกครีเอตในรูปแบบใหม่ พร้อมมองโอกาสของเครื่องปรุงไทยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยนิทรรศการดังกล่าวสามารถเข้าชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้จนถึง 23 พฤศจิกายน 2568 ณ Front Lobby ชั้น 1 TCDC กรุงเทพฯ