ถอดบทเรียนการประมงแบบนอร์เวย์: สร้างความเชื่อมั่นบนพื้นฐานของคุณภาพและความยั่งยืน

1    834    9    25 พ.ค. 2564 13:16 น.   
แบ่งปัน

ถอดบทเรียนการประมงแบบนอร์เวย์: สร้างความเชื่อมั่นบนพื้นฐานของคุณภาพและความยั่งยืน

   จากการที่กรมประมงได้มีการประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ฝั่งทะเลอันดามัน โดยปิดพื้นที่การประมงครอบคลุมภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2564 มาตรการดังกล่าวมีการกำหนดใช้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการการประมงอย่างยั่งยืนของไทย

แต่หากจะพูดถึงการประมงที่อยู่บนหลักของความยั่งยืนแล้ว นอร์เวย์เรียกได้ว่าเป็นผู้นำของโลกในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลเป็นอันดับสองของโลกด้วยชายฝั่งที่ยาวถึง 101,000 กิโลเมตร มีความเหมาะสมสำหรับทำการประมง ทำให้สามารถส่งอาหารทะเลเทียบเท่า 37 ล้านมื้อต่อวันให้กับผู้คนกว่า 150 ประเทศทั่วโลกได้ ประเทศไทยนำเข้าอาหารทะเลจากนอร์เวย์เฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 ตัน นับเป็นมูลค่า 4.9 พันล้านบาทต่อปี ความรับผิดชอบต่อทรัพยากรทางทะเลเป็นหัวใจสำคัญของการทำประมงของนอร์เวย์ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นประเทศแห่งอาหารทะเล นอร์เวย์ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำประมงจากการจับปลาเสรีมาใช้กฎระเบียบที่เข้มงวด ผ่านการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อสร้างมาตรฐานการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน

โมเดลการประมงของนอร์เวย์มีความน่าสนใจ โดยมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นบนพื้นฐานของคุณภาพและความยั่งยืน: และอาจเป็นแนวทางของการประมงไทยในอนาคตได้
 
ไม่มีการจับแล้วปล่อย: นอร์เวย์เป็นประเทศแรกในโลกที่ริเริ่มการประมงอย่างยั่งยืน ด้วยการออกกฏหมายห้ามปล่อยปลาที่ถูกจับกลับสู่ทะเลตั้งแต่ปี 2530 ในขณะที่สหภาพยุโรปประกาศใช้กฎหมายนี้ในปี 2562 นับเป็นเวลาถึง 30 ปีให้หลัง
 
นำระบบโควต้ามาใช้ในการประมง: นอร์เวย์ยังเป็นประเทศแรกที่นำระบบโควตามาใช้กับปลาสายพันธุ์ที่สำคัญ ๆ เช่น คอด ต่อยอดการบูรณาการความรู้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล อุตสาหกรรม และหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่การประมงที่มีความเปราะบางเชิงนิเวศสูงจะได้รับการปกป้อง ทะเลจะคงความสะอาด และประชากรสัตว์น้ำจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป ชาวประมงนอร์เวย์ต้องนำปลาที่จับได้ทั้งหมดขึ้นฝั่ง แต่จะไม่สามารถเอาไปขายทำกำไรมากกว่าโควต้าที่ตัวเองได้รับ
 
ปกป้องสัตว์น้ำที่ยังโตไม่เต็มวัย: นอร์เวย์มีการประเมินจำนวนประชากรสัตว์น้ำต่าง ๆ จากการถูกจับ เพื่อปกป้องตัวที่ยังโตไม่เต็มที่ ทำให้สัตว์น้ำในแต่ละรุ่นสามารถโตเต็มวัยจนเหมาะสำหรับทำการประมง แนวทางนี้ส่งผลในเชิงบวกทั้งด้านระบบนิเวศและเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับการแนะแนวการใช้ขนาดอวน ตาข่าย และตะขอเกี่ยวปลาที่เหมาะสมกับขนาดสัตว์น้ำต่าง ๆ
 
มีหลักเกณฑ์ในการกำหนดควบคุม: ยามชายฝั่งทะเลนอร์เวย์ใช้เวลาและทรัพยากรกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ในการลาดตระเวนตรวจตราการประมงให้สอดคล้องกับกฏระเบียบที่ทางการได้กำหนดไว้ การปิดการประมงชั่วคราวในบางพื้นที่ การห้ามใช้อุปกรณ์จับสัตว์น้ำบางประเภท หรือการเลี่ยงวิธีที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ ช่วยปกป้องระบบนิเวศในส่วนที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ มีการกำหนดให้ทำการประมงในช่วงเวลา พื้นที่ และใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมถึงตรวจสอบเรือประมงที่ขึ้นฝั่งและอยู่ในทะเลอย่างสม่ำเสมอ
 
อาหารทะเลจากนอร์เวย์อย่างแซลมอน ฟยอร์ดเทราต์ และ ซาบะ ที่เป็นที่นิยมของคนไทย เป็นผลผลิตของฟาร์มและการประมงที่ยั่งยืน แนวคิดของนอร์เวย์คือการยึดระบบนิเวศเป็นหลักในการผลิตอาหารทะเลที่มีคุณภาพให้กับผู้คนทั่วโลกโดยไม่เบียดเบียนสัตว์น้ำที่ยังโตไม่เต็มวัย และปกป้องสายพันธุ์ปลาและแนวปะการังที่สำคัญ โมเดลการประมงของนอร์เวย์ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จนทำให้นอร์เวย์มีจำนวนคอดและเฮร์ริงมากที่สุดในโลก รวมไปถึงสัตว์น้ำสายพันธุ์อื่น ๆ ก็อาศัยอยู่ในทะเลอย่างอุดมสมบูรณ์ นอร์เวย์ตั้งตัวเป็นกระบอกเสียงเรื่องความยั่งยืนมาหลายทศวรรษ กระตุ้นให้ประเทศอื่น ๆ ออกกฎหมายเพื่อปกป้องสัตว์น้ำเพื่อการประมง และส่งต่อความเชี่ยวชาญในการจัดการการประมงไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อสร้างและคงความอุดมสมบูรณ์ของประชากรสัตว์น้ำในทะเลตลอดมา อาจจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องตื่นตัวในเรื่องนี้เช่นกัน
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์
Seafood from Norway Festival 2025 ป๊อปอัพสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมนำทุกท่านดำดิ่งสู่โลกแห่งอาหารทะเลจากน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์ ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสและสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง Seafood from Norway และผู้บริโภคชาวไทย ถ่ายทอดเรื่องราวของธรรมชาติ ผู้คน และอนาคตที่มีร่วมกัน พร้อมกิจกรรมโซนอินเทอร์แอคทีฟ ลิ้มลองเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และบูธจากพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–7 กันยายน 2568 เวลา 10.00–22.00 น. ณ EM MARKET ห้างสรรพสินค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก  ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดนิทรรศการ “Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” หยิบซอสปรุงรสท้องถิ่นมาต่อยอดในมุมมองใหม่ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมที่กินได้” ร้อยเรียงเรื่องราวผ่าน 4 โซนนิทรรศการที่ชวนสำรวจทั้งวัฒนธรรมการกิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านขวดซอส ลิ้มรสซอสไทย ที่ถูกครีเอตในรูปแบบใหม่ พร้อมมองโอกาสของเครื่องปรุงไทยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยนิทรรศการดังกล่าวสามารถเข้าชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้จนถึง 23 พฤศจิกายน 2568 ณ Front Lobby ชั้น 1 TCDC กรุงเทพฯ