เอ็นไอเอ เปิดเทรนด์การเติบโตวีแกน พร้อมโชว์สตาร์ทอัพไทยกับการทำนวัตกรรม ไร้เนื้อแบบเหนือชั้น สุดทึ่ง “เมื่อชีส - เนื้อปูก็เป็นวีแกนได้” พร้อมพาชมแพลตฟอร์ม – คอมมูนิตี้เพื่อไลฟ์สไตล์ไร้เนื้อสัตว์

0    358    0    17 ม.ค. 2568 16:57 น.   
แบ่งปัน
ยุคนี้เป็นยุคแห่งการใส่ใจดูแลสุขภาพ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเห็นผู้คนให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย การบริโภคสินค้าและบริการที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงเทรนด์การรับประทานอาหารโดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ไร้เนื้อสัตว์อย่างวีแกน (Vegan) ที่เป็นการบริโภคสินค้าที่ไม่มีส่วนผสมของวัตถุดิบที่มาจากสัตว์ และไม่ใช้สัตว์ในกรรมวิธีการผลิต ซึ่งกำลังเป็นกระแสของผู้บริโภคในหลายประเทศ ที่มีความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และศีลธรรม

เมื่อธุรกิจชูแนวคิดดูแลโลกผ่านมื้ออาหาร สุขภาพดีและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนตามแนวทาง SDG
การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรรมมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้ามูลค่าสูงที่กลุ่มคนรักสุขภาพนิยมรับประทานในปัจจุบัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มมังสวิรัติที่งดเว้นเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่ยังคงรับประทานไข่ ชีส เนย นม ได้ ต่างจากกลุ่มวีแกนที่นอกจากจะเน้นรับประทานเฉพาะผักผลไม้และไม่บริโภคเนื้อสัตว์แล้ว ยังงดการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยงดการบริโภคนม เนย ชีส ไข่ รวมถึงน้ำผึ้ง ยีสต์ และเจลาติน ดังนั้น การมีผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชที่หลากหลาย เช่น ถั่ว ธัญพืช เห็ด และพืชน้ำต่าง ๆ จึงช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ ความสะดวกสบายในการปรุง และช่วยลดการเกิดภาวะโลกร้อนจากกระบวนการเลี้ยงปศุสัตว์ รวมถึงกระบวนการผลิตอาหารจากพืช ยังเป็นสินค้าที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย
 
เอ็นไอเอพาส่อง 3 นวัตกรรมอาหารอนาคตเพื่อกลุ่มคนรักสุขภาพสายวีแกน
ปัจจุบันเทรนด์วีแกนไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในอุตสาหกรรมอาหาร แต่ยังขยายครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย และสินค้าแฟชั่น โดยวันนี้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จะพาทุกคนไปท่องโลกนวัตกรรมอาหารวีแกนแบรนด์ไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน รับรองได้ว่าไม่ว่าจะสายวีแกนหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ก็ต้องถูกใจกันอย่างแน่นอน

Deligan: เนื้อปูเทียมแบบก้อนแช่แข็งจากเห็ดยามาบูชิตาเกะ นวัตกรรมที่พัฒนามาจากการนำเห็ดยามาบูชิตาเกะระยะหลังออกดอกแล้ว 9-10 วัน ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการและโปรตีนสูง มีสารกลุ่มเบตากลูแคน ไตรเทอร์ปีน (triterpene) ทรีอิทอล (threitol) ที่ช่วยบำรุงร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเซลล์มะเร็ง ลดระดับไขมันในเลือด ช่วยบำรุงสมอง มีศักยภาพช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์และโรคซึมเศร้า มาตัดแต่งเอาเฉพาะส่วนไมซีเลียมมาผ่านกระบวนการรักษาสภาพด้วยเกลือโซเดียม ไตรโพลีฟอสเฟต จากนั้นจึงนำมาแช่เยือกแข็งในสภาวะที่เหมาะสม จนได้เนื้อปูเทียมแบบก้อนแช่แข็งที่มีขนาดใหญ่คล้ายกรรเชียงปู มีรสชาติและเนื้อสัมผัสเด้งใกล้เคียงกับเนื้อปูก้อนของจริง สามารถเก็บได้ 2 ปี และราคาเข้าถึงได้ ผลงานนวัตกรรมจากบริษัท เฟรช แอนด์ เฟรนด์ลีฟาร์ม จำกัด ที่พัฒนาขึ้นนี้ ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องรสชาติและชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแพลนต์เบสประเภทซีฟู้ด ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีเนื้อสัมผัสหรือรูปลักษณ์ไม่คล้ายกับอาหารทะเล ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าแพลนต์เบสซีฟู้ดจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.4 พันล้านบาท มีอัตราการเติบโตร้อยละ 9-10 ต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 45.5 พันล้านบาท ภายในปี 2031

Swees Cheese: ขนมขบเคี้ยวรูปแบบแท่งรสเชดดาร์ชีสวีแกนจากโปรตีนข้าวไทย ผลิตภัณฑ์จาก บริษัท สวีส
แพลนท์ เบสด์ ฟู๊ดส์ จำกัด เล็งเห็นถึงโอกาสทางการตลาดที่เกิดขึ้นจากความนิยมของผู้บริโภคสายสุขภาพที่กำลังมองหาอาหารว่างปราศจากน้ำตาลและสารก่อแพ้ มีแคลลอรี่และไขมันต่ำ จึงได้พัฒนาขนมขบเคี้ยวรูปแบบแท่งรสเชดดาร์ชีสวีแกนจากโปรตีนข้าวไทยขึ้นจากการนำส่วนผสมหลัก ได้แก่ สารสกัดโปรตีนจากข้าวไทย น้ำมันมะพร้าว ไฮโดรคอลลอยด์จากสาหร่ายสีน้ำตาล และมะเขือเทศเข้มข้น มาผสมให้เข้ากันในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยก่อรูปเป็นลักษณะน้ำนมวุ้นจากพืช (coagulation) แล้วนำมาขึ้นรูปในแม่พิมพ์ได้เป็นขนมขบเคี้ยวรูปแบบแท่งที่มีคุณสมบัติไขมันต่ำ แคลลอรี่ต่ำ มีความคงตัวชีสสูง และปราศจากสารก่อแพ้จากถั่ว ซึ่งไม่เพียงแต่อร่อย ทานง่าย พกพาสะดวกเท่านั้น แต่ยังตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แพ้แลคโตสและถั่ว หากโครงการดังกล่าวประสบผลสำเร็จสามารถออกจำหน่ายสู่เชิงพาณิชย์ คาดว่าจะสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าอย่างน้อย 50 ล้านบาท ภายใน 5 ปี จากการส่งออก

Veganan: แพลตฟอร์มตลาดวีแกนสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชน เกิดจากแนวคิดของวิสาหกิจชุมชนฟาร์มพอดีที่ต้องการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยแก้ปัญหาผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของผู้ประกอบการท้องถิ่นจังหวัดน่านที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคได้แต่นักท่องเที่ยวที่ต้องการจับจ่ายหาซื้อของฝากเท่านั้น และเมื่อเจอสถานการณ์โควิด ผู้ประกอบการจึงขาดรายได้เพราะไม่สามารถออกร้านขายสินค้าได้ วิกฤตนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เริ่มจัดทำโครงการ “แพลตฟอร์มตลาดวีแกนสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชน” ขึ้น โดยนำสินค้าเกษตรแปรรูปที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ เช่น เห็ดกรอบ เห็ดสวรรค์ ผลิตภัณฑ์จากพืชพื้นถิ่นจังหวัดน่าน อย่างมะแขว่น กาแฟ มาปรับกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยยึดโจทย์ความต้องการของผู้บริโภควีแกนเป็นที่ตั้ง คือให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน วัตถุดิบ และกระบวนการผลิตที่ต้องไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง และไม่เผาในพื้นที่ นับเป็นการยกระดับจากสินค้าชุมชนที่ได้กำไรน้อยสู่สินค้าสำหรับตลาดกลุ่มคนรักสุขภาพที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะสายวีแกนที่มีจำนวนผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งตลาดวีแกนของประเทศไทยมีผู้บริโภคประมาณ 2 ล้านคน ดังนั้น หากชุมชนสามารถนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปให้รองรับกับความต้องการของกลุ่มคนที่รับประทานวีแกนได้สักร้อยละ 10 ก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นมีกลุ่มเป้าหมายและค่านิยมหลัก (Core Value) ที่ชัดเจน ด้วยกลไกเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสร้างความแตกต่างให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยให้แพลตฟอร์มทำหน้าที่เสมือนเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เชื่อมโยงผู้ประกอบการวีแกนให้มาทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้บริโภคเป้าหมายทั้งในไทยและต่างประเทศให้สนใจที่จะมาพูดคุยและช้อปสินค้าวีแกนจากชุมชน เพราะคนรับประทานวีแกนไม่ได้ต้องการสินค้าที่ผ่านกระบวนการมากมาย แต่ต้องการสินค้าที่สร้างความเชื่อมั่น (trust) ซึ่งสินค้าในแพลตฟอร์มทุกตัวมาจากภูมิปัญญาของชุมชน ผ่านกระบวนการน้อย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทั้งแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และการช่วยให้สิ่งแวดล้อมและโลกดีขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาก็เริ่มมียอดจําหน่ายผลิตภัณฑ์วีแกนผ่านแพลตฟอร์มเป็นหลักแสนบาท
 
เอ็นไอเอกับกลยุทธ์เสริมแกร่ง สร้างโอกาสเติบโตสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลก
“นายวรากร เกศทับทิม หรือ คุณก่อ ผู้ก่อตั้งโครงการ “แพลตฟอร์มตลาดวีแกนสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชน” ตัวแทนที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก NIA มองว่า การที่ประเทศไทยมีนโยบายผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลก เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่โลกต้องเผชิญกับภาวะการขาดแคลนความมั่นคงทางอาหารในอนาคต นับเป็นโอกาสดีที่เกษตรกรกว่าร้อยละ 40 ของประเทศไทย จะได้ส่งผลิตภัณฑ์คนไทยไปยังผู้บริโภคในตลาดสินค้าเกษตรของโลก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดวีแกนที่จะเติบโตเป็นหลักแสนล้านในอนาคต

“การได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก NIA ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ หรือวิสาหกิจชุมชน ที่อยากพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมได้รู้ว่าภาครัฐมีกลไกสนับสนุนหลากหลายจากทั้งของ NIA และหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ที่พร้อมจะช่วยสนับสนุนทุนให้เราสามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของประเทศได้ในอนาคต โดย NIA เป็นเสมือนจุดสตาร์ทที่จะช่วยให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ตั้งแต่การเริ่มต้นสร้างสรรค์นวัตกรรมจนถึงการวางแผนธุรกิจและการต่อยอดทำตลาด ซึ่งเป็นสิ่งหลายชุมชนในจังหวัดน่านต้องการ เพราะไม่อยากเสี่ยงไปลองผิดลองถูกในการลงทุนเรื่องการตลาดหรือว่าทำแพลตฟอร์มเองโดยไม่มีความรู้ หรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ซึ่งกลไกการสนับสนุนของ NIA นอกจากจะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสเติบโตมากขึ้น ยังช่วยเปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจของคนในชุมชนให้เกิดการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสิ่งที่ดีและเปลี่ยนแปลงชุมชนให้ดียิ่งขึ้นผ่านเครื่องมือของ NIA”
 
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
ครั้งแรกในประเทศไทยกับ Seafood from Norway Festival 2025 ประสบการณ์ป๊อปอัพสุดพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์
Seafood from Norway Festival 2025 ป๊อปอัพสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมนำทุกท่านดำดิ่งสู่โลกแห่งอาหารทะเลจากน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์ ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสและสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง Seafood from Norway และผู้บริโภคชาวไทย ถ่ายทอดเรื่องราวของธรรมชาติ ผู้คน และอนาคตที่มีร่วมกัน พร้อมกิจกรรมโซนอินเทอร์แอคทีฟ ลิ้มลองเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และบูธจากพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–นอร์เวย์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–7 กันยายน 2568 เวลา 10.00–22.00 น. ณ EM MARKET ห้างสรรพสินค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก  ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แม่บ้าน
CEA เปิด “นิทรรศการ Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” ชวนสำรวจซอสไทยกับรสชาติที่มัดใจครัวโลก ไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ลิ้มรสได้ เปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 พฤศจิกายน ณ TCDC กรุงเทพฯ
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดนิทรรศการ “Thai Local Sauce อร่อยเหยาะ” หยิบซอสปรุงรสท้องถิ่นมาต่อยอดในมุมมองใหม่ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมที่กินได้” ร้อยเรียงเรื่องราวผ่าน 4 โซนนิทรรศการที่ชวนสำรวจทั้งวัฒนธรรมการกิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านขวดซอส ลิ้มรสซอสไทย ที่ถูกครีเอตในรูปแบบใหม่ พร้อมมองโอกาสของเครื่องปรุงไทยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยนิทรรศการดังกล่าวสามารถเข้าชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้จนถึง 23 พฤศจิกายน 2568 ณ Front Lobby ชั้น 1 TCDC กรุงเทพฯ