ปลดล็อกความยากจน! บ้านหนองเขียว จ.แม่ฮ่องสอน เดินหน้าสู่เกษตรอินทรีย์เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

0    371    0    17 มี.ค. 2568 14:43 น.   
แบ่งปัน
โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่บ้านหนองเขียวและกลุ่มบ้านบริวาร ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน กำลังก้าวหน้าอย่างโดดเด่นในการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวทางของโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.)โครงการนี้มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม สู่ระบบเกษตรอินทรีย์และพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร สร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่บ้านหนองเขียวและกลุ่มบ้านบริวาร จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับการดำเนินงานโดย สวพส. ซึ่งเริ่มต้นจากการสำรวจและวิเคราะห์ปัญหาของชุมชน พบว่าประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และการเกษตร รวมถึงขาดองค์ความรู้ด้านเกษตรที่ยั่งยืน ทำให้รายได้ไม่มั่นคงและต้องพึ่งพาการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่มีต้นทุนสูงและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ สวพส. จึงร่วมมือกับกรมทรัพยากรน้ำและกรมชลประทานในการจัดหาน้ำสะอาด พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น ผักอินทรีย์ กาแฟ อะโวคาโด และเสาวรสหวาน แทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือพืชที่ให้ผลตอบแทนต่ำ โดยมุ่งหวังให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงขึ้น ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญของกิจกรรมการเพิ่มรายได้ระยะสั้น คือ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในโรงเรือน จำนวน 30 โรงเรือน บนพื้นที่เพียง 12 ไร่ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรสูงถึง 2,880,000 บาทต่อปี ในทางกลับกัน หากใช้พื้นที่เดียวกันนี้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะให้ผลตอบแทนเพียง 72,000 บาทต่อปี และหากต้องการรายได้เท่ากัน เกษตรกรต้องใช้พื้นที่ถึง 480 ไร่ ตัวเลขเหล่านี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า เกษตรอินทรีย์ในโรงเรือนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า สร้างรายได้ที่มั่นคง ลดความเสี่ยง และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

 นายพัลลภ ปัญญา นักวิชาการส่งเสริมและพัฒนา  หัวหน้าโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่บ้านหนองเขียว และกลุ่มบ้านบริวาร กล่าวว่า การพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงตามแนวทางของโครงการหลวง ไม่ได้ช่วยแค่ให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการใช้พื้นที่ ลดการเผา และลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่อีกด้วยที่สำคัญคือ เกษตรกรมีทางเลือกในการทำอาชีพมากขึ้น โดยมีทั้งพืชระยะสั้น อย่างผักอินทรีย์ที่ปลูกในโรงเรือน พืชระยะกลาง เช่น เสาวรสหวาน และถั่วลายเสือ ส่วนพืชระยะยาวก็มีอะโวคาโด กาแฟอราบิก้า และแมคคาเดเมีย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีหลายด้าน ในแง่เศรษฐกิจ เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง ในแง่สังคม ก็เกิดการรวมกลุ่มกัน ทั้งในและนอกภาคเกษตร โดยมีคนในชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการ และในแง่สิ่งแวดล้อม การปลูกไม้ผลและกาแฟที่ใช้พื้นที่น้อย ทำให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอีกด้วย
นายบรมัติ  ทิพกนก ผู้อำนวยการกลุ่มตรวจการณ์สหกรณ์ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน) ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสำนักงานสหกรณ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มเตรียมสหกรณ์พัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงหนองเขียว จำกัด เพื่อรวมกลุ่มเกษตรกรในโครงการได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านปัจจัยการผลิตและวัสดุอุปกรณ์การเกษตร บริหารจัดการด้านการตลาด โดยการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาด ทั้งตลาดตามข้อตกลงและตลาดออนไลน์ ทั้งในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหารของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และกระจายออกสู่ตลาดต่างจังหวัด อีกทั้งได้ส่งเสริมสนับสนุนในการออมทรัพย์ของเกษตรกรสมาชิก รวมถึงการผลักดันให้เกษตรกรสมาชิกมีส่วนร่วมในทุกมิติ

นางสาวรวีวรรณ ชลธารเสาวรส ประธานกลุ่มผู้ปลูกผักอินทรีย์บ้านหนองเขียว กล่าวว่า ระบบการจัดการภายในกลุ่มเกษตรกรได้รับการออกแบบให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยเกษตรกรแต่ละคนมีหน้าที่เฉพาะ ตั้งแต่การตัด คัดเลือก ซึ่งขั้นตอนการแพ็คบรรจุผลิตภัณฑ์มีการระบุชื่อเกษตรกร ชนิดของผักที่ปลูก พื้นที่เพาะปลูก และน้ำหนักของผลผลิต เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ นอกจากนี้ การบริหารจัดการแบบรวมกลุ่มยังช่วยให้สมาชิกสามารถแบ่งปันองค์ความรู้และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรในชุมชนมีรายได้ที่มั่นคง และคุณภาพชีวิตของครอบครัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การปรับใช้แนวทางโครงการหลวงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาที่บ้านหนองเขียวช่วยให้เกษตรกรเปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นเกษตรที่ใช้พื้นที่น้อยแต่ให้ผลตอบแทนสูง ลดการเผา และแก้ปัญหาหมอกควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จนี้เกิดจากการสนับสนุนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ถนน สัญญาณสื่อสาร ระบบไฟฟ้า และคุณภาพดิน-น้ำ พร้อมขยายองค์ความรู้ไปยังพื้นที่สูงอื่น ๆ เพื่อสร้างระบบเกษตรที่ยั่งยืน เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรบนพื้นที่สูงในระยะยาว
 
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ
ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล แท็กทีม 3 เชฟดัง เชฟอาร์ต – เชฟเป่าเป้ – เชฟนิว  เปิดเวทีสมรภูมิรสชาติ “CENTRAL COOKING BATTLE” คัดเลือกสุดยอดเชฟแห่งห้างเซ็นทรัล  ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 150,000 บาท ในแคมเปญ “CENTRAL COOKING TIME” สำนักพิมพ์แม่บ้าน
ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล แท็กทีม 3 เชฟดัง เชฟอาร์ต – เชฟเป่าเป้ – เชฟนิว เปิดเวทีสมรภูมิรสชาติ “CENTRAL COOKING BATTLE” คัดเลือกสุดยอดเชฟแห่งห้างเซ็นทรัล ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 150,000 บาท ในแคมเปญ “CENTRAL COOKING TIME”
ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดสติเนชันแห่งการสร้างแรงบันดาลใจในทุกช่วงเวลาของชีวิต ตอกย้ำที่สุดแห่งความครบครันของสินค้าเครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กจากแบรนด์ชั้นนำ จัดกิจกรรม “Central Cooking Battle” (เซ็นทรัล คุกกิ้ง แบทเทิล) ในแคมเปญ “Central Cooking Time” (เซ็นทรัล คุกกิ้ง ไทม์) เปิดเวทีสมรภูมิรสชาติ ชวนคุกกิ้งเลิฟเวอร์ตัวท็อปมาปล่อยของโชว์สกิลทำอาหาร ด้วยการส่งคลิปเมนูเด็ด พร้อมสูตรลับความอร่อยที่ใคร ๆ ก็ทำตามได้ผ่านช่องทาง Facebook หรือ Tiktok ของ ผู้เข้าแข่งขันแล้วเปิดโพสต์เป็นสาธารณะและติดแฮชแท็ก #CentralCookingTime2025 #CentralCookingBattle2025 ซึ่งห้างเซ็นทรัลได้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันจำนวน 8 ท่าน ที่หนึ่งในนั้นจะได้กลายเป็นสุดยอดเชฟแห่งห้างเซ็นทรัลปี 2025 โดยการแข่งขันครั้งนี้ถูกจัดขึ้น ณ แผนกบ้าน ชั้น 5 ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว
เปิดตัววิทยาลัยอินโชคุจิน สาขาแรก ในประเทศไทย  โรงเรียนสอนทำซูชิแบบเข้มข้นจากญี่ปุ่น ปั้นเชฟซูชิคนไทยสู่เวทีโลก สำนักพิมพ์แม่บ้าน
เปิดตัววิทยาลัยอินโชคุจิน สาขาแรก ในประเทศไทย โรงเรียนสอนทำซูชิแบบเข้มข้นจากญี่ปุ่น ปั้นเชฟซูชิคนไทยสู่เวทีโลก
วิทยาลัยอินโชคุจิน (Insyokujin College) สถาบันจากประเทศญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนทำซูชิ แห่งแรกในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการเป็นเชฟซูชิ รองรับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลักสูตรเน้นการอบรมด้านซูชิ ปลา อาหารทะเล และการออกแบบเมนูในรูปแบบญี่ปุ่น โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนสายงานเข้าสู่อาชีพเชฟ ผู้ที่สนใจในสายอาชีพอาหาร และเจ้าของกิจการร้านอาหารที่ต้องการเรียนรู้ทักษะการทำซูชิแบบมืออาชีพภายในระยะเวลาอันสั้น