“ข้าวหงษ์ทอง” ส่งข้าวคุณภาพ “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” ถึงมือผู้บริโภค ดันยอดขายปี 62 โต 5% หรือ 2,200 ล้านบาท

1    1,664    9    18 พ.ย. 2562 13:42 น.   
แบ่งปัน

“ข้าวหงษ์ทอง” ส่งข้าวคุณภาพ “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” ถึงมือผู้บริโภค
ดันยอดขายปี 62 โต 5% หรือ 2,200 ล้านบาท

   “ข้าวหงษ์ทอง” ส่งข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู Limited Edition 1 ปีมีครั้งเดียว ดึงกำลังซื้อกลับช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 62 ข้าวคุณภาพใน “โครงการหงษ์ทองนาหยอด” ข้าวที่ปลูกด้วยความใส่ใจ จากเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธิ์ หงษ์ทองเป็นรายแรกที่ทำตลาด และได้การตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีตลอดมา  โดยเฉพาะกลยุทธ์ Product Differentiation รุ่น Limited Edition 1 ปีมีครั้งเดียว ที่สร้างความแตกต่างจากยี่ห้ออื่น เพราะมาจากโครงการนาหยอด ทำให้ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดูของหงษ์ทองมีความหอมอร่อย จนมียอดขายติดอันดับ 1 ด้วย Market Share ถึง 50% พร้อมเตรียมผลักดันความเป็นอยู่ของชาวนาให้ดีขึ้นแบบยั่งยืน ด้วยการเพิ่มพื้นที่ปลูกเป็น 100,000 ไร่ โดยราคารับซื้อดีกว่าตลาด พร้อมตั้งเป้าปี 62 โตกว่า 5 % หรือมีมูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดข้าวถุงประมาณ 20,000 ล้านบาท

   นายกัมปนาท มานะธัญญา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายข้าวแบรนด์ “ข้าวหงษ์ทอง” เผยว่า เมื่อกล่าวถึง “ข้าวหงษ์ทอง”  ที่ผู้บริโภคคิดถึง คือแบรนด์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี  โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู  ที่หงษ์ทองเป็นรายแรกที่วางจำหน่ายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคตลอดมา  โดยเฉพาะกลยุทธ์ Product Differentiation  รุ่น  Limited Edition  สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพราะมาจากโครงการหงษ์ทองนาหยอดปลูกด้วย “เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์” จนได้ข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ ด้วยความหวังพัฒนาคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยให้ดียิ่งขึ้นจากผลผลิตที่มีคุณภาพทำให้ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดูของหงษ์ทอง มียอดขายติดอันดับ 1 โดยมี Market Share ถึง 50%
 

   จากความสำเร็จ ของ “โครงการหงษ์ทองนาหยอด” เริ่มต้นในปี 58/59 มีผู้ร่วมโครงการเพียง 500 ไร่  และปีนี้ฤดูกาลปลูก 61/62 มีผู้ร่วมโครงการ 60,000 ไร่ เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดทุกปี เพราะโมเดลของโครงการประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้คือ ลดต้นทุนการปลูก เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ทำให้รายได้ของชาวนาเพิ่มขึ้นเมื่อชาวนาเห็นผลชัดเจน โดยมีผู้นำชุมชนเป็นผู้ร่วมโครงการและสนับสนุนให้ชาวนาท่านอื่น ๆ เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี  พร้อมตั้งเป้าผู้ร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ไร่  ในปี 2563 และขยายพื้นที่ออกไปในอำเภอต่างๆ นอกเหนือจากเดิมที่โพนข่า จ.ศรีสะเกษ   และอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

   นายกัมปนาท กล่าวอีกว่า ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายการขาย ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู รุ่น  Limited Edition เติบโตขึ้นเท่าตัว ซึ่งมีวางจำหน่ายทุกช่องทางทั้งห้างสรรพสินค้า และทางออนไลน์ โดยเปิดตัวแคมเปญเมื่อวันที่ 11:11  ด้วยยอดขายเพียงวันเดียว 12,000 ถุง และเป้าหมายของแคมเปญเฉพาะช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ด้วยยอดขาย 600,000 ถุง โดยจะมี Golden Period ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้พร้อมกันทั่วทุกห้างในราคาพิเศษ เพื่อผู้บริโภคได้ชิมข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดูอย่างแท้จริง

   และในปีนี้เราได้ออกหนังโฆษณาทางออนไลน์ “เพียงคำเดียว” เป็นการนำเรื่องโครงการนาหยอดผูกเข้ากับเรื่องการสร้างครอบครัวที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันและกันเหมือนตั้งแต่เริ่มต้นจีบกันใหม่ๆ แต่งงานสร้างครอบครัว จนมีลูก เช่นเดียวกับการทำนาหยอดด้วยการคัดสรรกันตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ บำรุงดิน ดูแลแปลงนา เอาใจใส่ทุกวันทุกกระบวนการ ซึ่งหงษ์ทองเป็นผู้ผลิตแบรนด์เดียวที่ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทาง (supply chain) โดยเฉพาะชาวนาที่ยังต้องการการสนับสนุน การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำนาเพื่อให้ต้นทุนการปลูกลดลงผลผลิตมากขึ้นทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น และที่ดีที่สุดคือ คุณภาพข้าวหอมมะลิกลับมาดีเหมือนเดิม ทั้งหอมกว่าทั้งนุ่มกว่า



   นายกัมปนาท กล่าวต่ออีกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกขยับสูงขึ้นเกือบ 30-40%  ที่ราคาข้าวหอมมะลิตันละ 18,000 -20,000 บาท  ทำให้ต้นทุนข้าวเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด  ส่งผลต่อราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิบรรจุถุง ราคาเฉลี่ย 230-250 บาทต่อขนาด 5 กก.  ราคาข้าวหอมเกรดรองอยู่ที่ 170-200 บาท ผู้บริโภคจึงหันมาซื้อข้าวหอมเกรดรองมากขึ้น  ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขสัดส่วนการขายของข้าวสารบรรจุถุงเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี 2562
 
   
ชนิดข้าว Market   Share
by Value
%Growth to Last Year
กลุ่มข้าวหอมมะลิ 55% 8%
กลุ่มข้าวหอมเกรดรอง 26%  
33%
กลุ่มข้าวขาว 13% 30%
กลุ่มข้าวสุขภาพ 6% 29%
 
   มูลค่าตลาดข้าวบรรจุถุงปี 2562 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งข้าวหงษ์ทองมี  Market Share อยู่ 11% หรือประมาณ 2,200 ล้านบาท

   “ในปี 2563 ข้าวหงษ์ทองวางเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยเราทำแผนการเติบโตจากช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม  หรือ Offline 10% แต่เราวางแผนการเติบโตจาก Online 300% ซึ่งเราจัดจำหน่ายทุก Market Place ซึ่งปัจจุบันเราเป็นที่ 1 ในการขายข้าวถุงทางออนไลน์ได้รับการสั่งซื้อทั้งจาก Shoppee และ Lazada  มียอดขายเป็นที่น่าพอใจเพิ่มขึ้นทุกปี”

   จากยอดขายเดือน มกราคม - กันยายน ปี 62  เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ยังมียอดขาย Volume +4% และยอดขาย Value +5%  สัดส่วนการขายข้าวหอมมะลิมากที่สุด แต่ยอดขายลดลง แต่ที่ทำได้ดีมากคือข้าวหอมเกรดรองเติบโต 73%  และข้าวสุขภาพเติบโต 160% ทั้งจากข้าวไรซ์เบอร์รี่  และสินค้าใหม่ข้าวกล้องหอม100% ขนาด 5 กก. และยังได้วางแผนแคมเปญข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู Limited Edition เป้าหมายการเติบโตเท่าตัว   ซึ่งจะเป็นแคมเปญส่งท้ายปีช่วยทำให้ปิดเป้าหมายประจำปีได้
 
   “จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่มีปัญหาเรื่องค่าครองชีพสูง ในขณะที่รายได้ลดลง หรือไม่เพิ่มขึ้น ทำให้กระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อข้าวที่ผู้บริโภคเลือกซื้อข้าวเกรดรอง ราคาไม่เกิน 200 บาทต่อถุงเพิ่มขึ้น  จึงทำให้ข้าวหอมมะลิมีการเติบโตเล็กน้อย เราเล็งเห็นสถานการณ์ดังกล่าว  จึงมีสินค้าใหม่วางจำหน่ายในปีนี้คือ ข้าวหอมคัดพิเศษ  เป็นข้าวหอมผสมกินอร่อย หุงขึ้นหม้อมากกว่า 2 เท่า ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคดีเช่นกัน นายกัมปนาท กล่าวสรุปในตอนท้าย
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ
วัตสันเดินหน้า รุกขยายสาขา  พร้อมเปิดตัว Greener Store แห่งแรกของประเทศไทย  มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน สำนักพิมพ์แม่บ้าน
วัตสันเดินหน้า รุกขยายสาขา พร้อมเปิดตัว Greener Store แห่งแรกของประเทศไทย มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เผยทิศทางธุรกิจ ประจำปี 2567 เน้นขยายการเติบโต รวมถึงการนำความยั่งยืนมาใช้ผสานในการพัฒนาส่วนต่างๆ ของธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ วัตสัน ในฐานะผู้นำตลาด ยังคงมุ่งหน้าชูกลยุทธ์การชอปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงการต่อยอดให้กับสินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยทั้งหมดนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของวัตสันในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา