“เส้น” มาจากไหน

แเสดงความคิดเห็น
ถูกใจ
แเสดงความคิดเห็น
ถูกใจ
5,526    5    -4    28 พ.ย. 2562 15:16 น.
แบ่งปัน
       ตอนนี้เห็นว่าทางแม่บ้านเขาจะมีงาน NOOD&Street Food Fest เลยลองหาข้อมูลเกี่ยวกับ “เส้น” มาให้ลองอ่านกัน

       ถ้าให้เอาความคิดของตัวเองฉันว่าอาหารจำพวกเส้นนี้คงมาจากประเทศจีนเป็นแน่แท้... เนื่องจากประเทศนี้มีประศาสตร์ที่ยาวนาน และจากผลสรุปเขาก็ว่าเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อมีหลักฐานกล่าวอ้างว่าเมื่อ พ.ศ.2548 นักโบราณคดีชาวจีนได้ขุดพบซากเส้นหมี่ที่หลงเหลือในไหดินเผา โดยไหดังกล่าวถูกค้นพบที่หมู่บ้านล่าเจียใกล้แม่น้ำฮวงโห มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน ไหเหล่านั้นฝังอยู่ใต้ดินลึก 3 เมตร การวัดอายุของไหและดินตะกอนในบริเวณแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นแหล่งอาศัยของคนเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน สันนิษฐานว่าเมื่อหมู่บ้านถูกน้ำท่วมและถูกแผ่นดินไหวถล่ม ผู้คนจึงอพยพทิ้งหมู่บ้านไปอย่างถาวร เส้นหมี่ที่ค้นพบนั้นมีสีเหลือง ทำจากข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี และข้าวฟ่างซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของชาวจีนในเวลานั้น เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.3 เซนติเมตรยาว 50 เซนติเมตร สาเหตุที่เส้นยาวถึงเกือบ 2 ฟุตนั้นเชื่อว่าสมัยก่อนคนจีนมักทำเส้นหมี่สดและนำมาปรุงเป็นกองใหญ่ๆ เพราะมีความความเชื่อว่าถ้าตัดเส้นให้ขาดจะโชคร้าย โดยหลักฐานดังนี้เป็นการยืนยันได้ว่าเป็นอย่างดีว่าคนจีนรู้จักการทำนาข้าวเมื่อ 4,000 ปีก่อน จากหลักฐานอ้างอิงนี้ทำให้หลายฝ่ายสรุปว่าอาหารประเภทเส้นนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน แต่ที่ฉันเฉลียวใจและแอบสงสัยอยู่เป็นนัยๆ ก็คือ เส้นที่ถูกฝังอยู่นานกว่า 4,000 ปี นั้นจะคงอยู่ในสภาพเดิมซึ่งสามารถมองเห็นสีสันได้จริงเหรอ อันนี้คงต้องรอการพิสูจย์แบบจะๆ กันอีกที...
 

       มาต่อกันที่เรื่องสนุกๆ อีกเรื่องเกี่ยวกับเส้นพาสต้าหรือสปาเก็ตตี้จากฝั่งตะวันตกกันบ้าง... หลายแหล่งเชื่อว่านักเดินทางที่ยิ่งใหญ่อย่าง มาร์โค โปโล เป็นผู้นำเส้นบะหมี่จากเมืองจีนมาเผยแพร่ให้ฝั่งตะวันตกได้รู้จักกัน เนื่องจากเขาเดินทางไปไกลถึงมองโกลในยุคจักรวรรดิ์มองโกลของกุบไลข่าน (กุบไลข่านเป็นลูกชายของเจงกีสข่าน) เพื่อสำรวจพื้นที่ฝั่งตะวันออกและค้าขาย มาร์โค โปโล เดินทางไปได้อย่างไรนะเหรอ เขาตามรอยเท้าพ่อและลุงของเขาไปต่างถิ่นตั้งแต่อายุ 17 ปี นับว่าเป็นหนุ่มนักเดินทางที่อายุน้อยมาก บวกกับการเดินทางที่เขาเล่าให้ฟังนั้นมันดูยากลำบากแสนสาหัสเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงที่ต้องผ่านขุมนรกอย่างการข้ามทะเลทรายโกบี เขาต้องทนต่อภาพหลอน เสียงทรายครวญ และการอดน้ำ กว่าจะผ่านมาได้เล่นเอาสะบักสะบอมอย่างหนัก จากนั้นเขากับพ่อและลุงก็ใช้เวลาอยู่ในมองโกลนานกว่า 17 ปี ถึงเดินกลับบ้านเกิดที่เวนิสอีกครั้ง และนำความรุ่งเรืองจากฝั่งตะวันออกมาบอกเล่าเป็นเรื่องราวให้กับชาวฝั่งตะวันตกได้ฟัง รวมถึงเขาได้นำเส้นบะหมี่กลับมายังบ้านเกิดด้วยและนั่นก็คือหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าคนอิตาเลียนคิดทำพาสต้าหลังคนจีนคิดทำก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่...

แล้วสิ่งที่คุณอ่านอยู่นี้เชื่อได้จริงหรือ... มีอีกกระแสหนึ่งกล่าวว่า “มาร์โค โปโล” อาจจะไม่มีอยู่จริงตามที่ตำนานเล่าขาน เพราะผลจากการตรวจสอบของนักวิชาการรุ่นหลัง ได้เริ่มสั่นคลอนความเชื่อดังกล่าวลงไปมาก ดังปรากฏในสารคดีเรื่อง The True Story of Marco Polo จากประวัติบอกเล่าว่าหลังจากที่เขากลับมาถึงเวนิสในปี 1295 (พ.ศ.1838) ปรากฎว่าญาติๆ จำพวกเขาไม่ได้เลย และคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว จากนั้นนครรัฐเวนิซได้แพ้สงครามแก่รัฐเจนัว มาร์โค โปโล ได้ถูกขังคุกรวมอยู่กับ รัสติเชลโล (Rustichello da Pisa) นักเขียนเรื่องราวเพ้อฝัน ณ ที่คุมขังนี้เองรัสติเชลโลได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของมาร์โค โปโล ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรตามคำบอกเล่าของเขา จนเป็นหนังสือชื่อว่า Il Milione ซึ่งนักอ่านมองว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่ามีทั้งส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วนที่สร้างความสับสนให้กับคนรุ่นหลัง เนื่องจากเส้นทางการเดินทางที่อ้างถึงคลุมเครือ แต่ความคลุมเครือนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พยายามหาเส้นทางไปจีนทางอื่น คือทางทะเล จนเป็นเหตุให้มีการค้นพบทวีปอเมริกา...

ไม่มีเอกสารหรือวรรณกรรมใดๆ ของจีนหรือมองโกลกล่าวถึงมาร์โค โปโลเลย... ฝ่ายที่ไม่เชื่อการเดินทางของ มาร์โค โปโล แสดงความแปลกใจที่กุบไลข่านทรงแต่งตั้งชาวต่างประเทศที่อายุน้อยอย่างมาร์โค โปโลเป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ หนังสือของมาร์โค โปโลมักเรียกชื่อต่างๆ เป็นภาษาเปอร์เซีย หรือตุรกี ทำให้เกิดความสงสัยว่า เรื่องของเขาอาจเป็นเพียงการปะติดปะต่อคำบอกเล่าต่อกันมาของบรรดาพ่อค้าชาติต่างๆ รวมถึงความเชื่อที่ว่ามาร์โค โปโลเป็นผู้นำให้กำเนิดพาสต้า ซึ่งความจริงแล้วชาวอาหรับเป็นผู้นำข้าวสาลีและพาสต้าเข้ามายังยุโรปหลายร้อยปีก่อนที่มาร์โค โปโลเกิดด้วยซ้ำ ทั้งนี้ฝ่ายที่ไม่เชื่อว่ามาร์โค โปโลเดินทางไปเมืองจีนจริงๆ เช่น Frances Wood ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Did Marco Polo Go to China? ก็ไม่ได้ประณามว่าเขาโกหกซะทีเดียว ในสารคดี Wood ได้อธิบายว่าหนังสือของมาร์โค โปโลกำเนิดโดยรัสติเชลโลนั้น ในระยะแรกการเผยแพร่หนังสือดังกล่าวกระทำโดยการคัดลอกต่อๆ กันมา ซึ่งอาจเกิดความผิดเพี้ยนแต่งเติมขึ้นได้ และมีความเป็นไปได้ด้วยว่ามาร์โค โปโลอาจไม่มีตัวตนจริงเป็นเพียงตัวละครที่รัสติเชลโลสมมติขึ้นมาในหนังสือ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ารัสติเชลโลจะเป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกลวง แต่ว่าเป็นการเขียนหนังสือภูมิศาสตร์โลกหรือหนังสือท่องเที่ยวโดยการแต่งเติมสีสันเท่านั้นเอง... 
 

       มาถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวของพี่ไทยกันบ้าง... ก็คงจะมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เมืองไทยเราได้ทำการค้าขายกับชาวต่างชาติมากมายหลายชาติรวมถึงชาวจีน ในยุคนี้นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเกี่ยวกับอาหารอยู่มากพอควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ พริก หรือเครื่องเทศต่างๆ เนื่องจากมีการค้าขายผ่านเรือสำเภาจนทำให้มีสินค้าแปลกตามาค้าขายในยุคนี้รวมถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยเช่นกัน สำหรับเส้นก๋วยเตี๋ยวนั้นจะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารกินกันในเรืออย่างธรรมดา โดยต้มในน้ำซุปใส่หมูใส่ผักบางอย่าง แต่คนไทยเห็นเป็นของแปลกตาในยุคนั้นอย่างที่สุด แต่เมื่อเห็นบ่อยเข้าก็มีการเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาประกอบเป็นอาหารอื่นด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นคนจีนก็เริ่มมีการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเองในเมืองไทย โดยการนำเอาแป้งข้าวเจ้ามาทำเส้นก๋วยเตี๋ยว และหลังจากสิ้นยุคกรุงศรีอยุธยามาถึงสมัยกรุงธนบุรี ก็ยิ่งมีคนจีนเดินทางมาค้าขายมากขึ้น การทำเส้นก๋วยเตี๋ยวจึงมากไปด้วยเช่นกัน...  

เมื่อถึงสมัยที่ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี... คนไทยได้รู้จักเส้นก๋วยเตี๋ยวมากขึ้น เพราะมีนโยบายรัฐนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนรับประทานก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากเห็นว่าสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติในตอนนั้นได้ เพื่อจะได้มีเงินหมุนเวียนในประเทศ ดังคำกล่าวของท่าน นายกฯ ในสมัยนั้นว่า “อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยวมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้น ก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกันไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยขน์เต็มที่ในค่าของเงิน” และตั้งแต่นั้นมาการรับประทานก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยก็เริ่มขยายไปทั่วจนถึงทุกวันนี้...   


เรื่อง : TONGTA
บทความแนะนำอื่นๆ
สูตรอาหารน่าสนใจ
ข้าวแช่ชาววัง อาหารไทยโบราณเย็นชื่นใจคลายร้อน
ข้าวแช่ คือ อาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยข้าวสุกขัดแช่น้ำเย็น (น้ำลอยดอกไม้) กินคู่กับเครื่องเคียงต่าง ๆ อย่างเช่น ลูกกะปิ พริกหยวกสอดไส้ ผักกาดเค็มผัดหวาน ปลาแห้ง และเครื่องผัดหวานต่าง ๆ โดยเชื่อกันว่า ข้าวแช่นั้นเดิมทีเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวมอญ นิยมทำสังเวยเทวดาในช่วงตรุษสงกรานต์ ต่อมาชาววังรับไปปรับปรุงจึงทำให้ได้ชื่อว่า "ข้าวแช่เสวย" หรือ "ข้าวแช่ชาววัง" ในปัจจุบันข้าวแช่นับว่าหากินง่ายขึ้น ส่วนเจ้าไหนจะถูกหรือจะผิดเพี้ยนไปจากเดิมอันนี้เราไม่ทราบ แต่อย่างไรก็หวังว่าอยากจะให้ขั้นตอนของการทำตัวข้าวแช่นั้นถูกต้องตามแบบฉบับที่เคยมีมา ส่วนเครื่องเคียงต่าง ๆ ก็ปรับเปลี่ยนส่วนผสมได้เล็กน้อยตามสมัย เพราะบางส่วนผสมก็หาซื้อได้ยากแล้ว ครั้งนี้แม่บ้านเลยขอนำเสนอสูตร "ข้าวแช่ชาววัง อาหารไทยเย็นชื่นใจคลายร้อน" มาฝากเพื่อน ๆ ให้ลองทำตามกันดูในช่วงหน้าร้อนนี้
ซาลาเปามันม่วงไส้มันม่วง
ซาลาเปามันม่วง ส่วนผสมแป้ง -แป้งสาลีเอนกประสงค์ตราว่าว 250 กรัม -มันม่วงญี่ปุ่นนึ่งสุกบดละเอียด 130 กรัม -ยีตส์ผง 1 ชช. -ผงฟู 1 ชช. -น้ำตาล 40 กรัม -เกลือ 1/2 ชช. -น้ำอุ่น 60 ml. -น้ำมันรำข้าว 2 ชต. ส่วนผสมไส้ -มันม่วงนึ่งสุกบดละเอียด 200 กรัม -วิปปิ้งครีม+นมสด 1 ถ้วยตวง -น้ำตาล 50 กรัม -เกลือ1/2 ชช. -ธัญพืชต้มสุกสำหรับใส่ไส้ (แปะก๊วย,ลูกเดือย,ถั่วแดง,ข้าวโพดหวาน) วิธีทำ ส่วนที่1 -นำน้ำอุ่น 30 ml.ผสมกับยีตส์ ใส่น้ำตาลนิดนึง เกลือนิดนึง พักไว้ให้ขึ้นฟอง 4-5 นาที ส่วนที่2 -นำแป้งมาร่อนรวมกับผงฟูพักไว้ -นำมันม่วงนึ่งสุกบดให้ละเอียดจะบดกับกระชอนตาถี่ได้เลยนะคระทำขณะที่มันม่วงร้อนๆจะบดง่ายกว่าตอนเย็น พักไว้ -นำแป้งใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาล เกลือคนให้เข้ากัน ใส่มันม่วงบด ผสมให้เข้า แล้วทำหลุมตรงกลางใส่น้ำเปล่าที่เหลือ 30 ml.ลงไปตามด้วยน้ำที่ผสมยีตส์อีก30ml.นวดให้เข้ากันถ้าแป้งแห้งให้เติมน้ำเพิ่มได้อีก จากนั้นใส่น้ำมันรำข้าวนวดให้เข้ากัน 1-2 นาที -พักแป้งแลปปิดฝา 20 นาที -พักแป้งครบ20 นำมานวดต่อ ให้นุ่มแล้วตัดแบ่งออกเปนก้อนละ50 กรัม คลึงกลม(ขั้นตอนนี้จะทำก้อต่อเมื่อไส้มันม่วงเสร็จแล้วนะคระ)แล้วรีดให้แผ่นบางหนาตามชอบ ตักไส้มันม่วงใส่ตามด้วยธัญพืชตามชอบแล้วจีบจากซ้ายไปขวา ปิดไส้ให้สนิทแล้ววางบนกระดาษไข พักไว้คลุมผ้าเพื่อไม่ให้แป้งแห้ง -พักแป้งไว้ 20-30 นาทีเพื่อให้แป้งฟูขึ้น -รอแป้งขึ้น ตั้งฉึ่งเปิดไฟแรงให้น้ำเดือด พอเดือดลดไฟเหลือไฟกลาง เรียงซาลาเบาให้ห่างนิดๆใช้ตะเกียบวางบนฉึ่งทั้งสองข้าง (วิธีแง้มฝา)เวลาปิดฝานึ่งซาลาเปาจะได้ไม่มีไอนำ้หยด ลงซาลาเปา นึ่ง 20 นาที พอครบเปิดฝานึ่งอีก2 นาที (เพื่อไม่ให้ซาลาเปาเหี่ยว)สุกพร้อมหม่ำจร้า วิธีทำไส้มันม่วง -นำมันม่วงนึ่งสุกบดละเอียดใส้กระทะ ตามด้วยน้ำตาล เกลือ นมวิปปิ้งครีม -เปิดไฟอ่อนเคี่ยวให้มันม่วงข้นเหนียว เกือบแห้งไม่ติดกะทะ พอได้ที่ปิดไฟตักใส่ถ้วยพักไว้
แสดงความคิดเห็น

* จำเป็นต้องกรอก

คะแนนสำหรับบทความนี้ *
รายละเอียด *
ยังไม่มีรีวิว
บทความใกล้เคียงดูบทความทั้งหมด